ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

โมหะนิยม

๒o เม.ย. ๒๕๕๖

 

โมหะนิยม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๑๓๐๒. เนาะ

ถาม : ๑๓๐๒. เรื่อง “เนื่องด้วย “ไม่เห็นตถาคต” คำถามข้อ ๑๒๗๙”

นมัสการหลวงพ่อครับ ขออนุญาตครับหลวงพ่อ ครั้งนี้ไม่มีคำถาม เนื่องจากผมทนไม่ไหวหลังฟังคำถามข้อ ๑๒๗๙. ครับ พอดีมีคนถามแล้วหลวงพ่อเทศน์พอดีครับ เพราะคำถามเขามันจี้จุดที่ใจยังมีกิเลสพอดี แต่ที่อธิบายนี้ก็เพื่อต้องการจะให้ชาวพุทธที่ปฏิบัติเข้าใจอย่างถูกต้องในเชิงภาษาและประวัติศาสตร์จริงๆ ส่วนเรื่องธรรมผมยังไม่ได้เรื่องราวอะไร คงต้องให้หลวงพ่อครับ ขอเล่าเป็นข้อๆ นะครับ เพื่อการลำดับความเข้าใจ

๑. พระพุทธศาสนาอธิบายเรื่องนรก สวรรค์ เทวดา อินทร์ พรหมมาตั้งแต่ยุคแรกๆ และต่อมาทุกๆ ยุค

๒. นรก สวรรค์ ภพ ภูมิ เรื่องเทวดาต่างๆ ในตำราพระพุทธศาสนากับตำราศาสนาพราหมณ์ ฮินดูไม่เหมือนกัน

๓. แต่คำว่าพราหมณ์ในยุคหลัง ถูกคนบางกลุ่มนำมาใช้เป็นคำดูถูก เป็นคำด่าว่างมงาย ล้าหลัง และมักกล่าวหมิ่นพระไตรปิฎกว่ามีของพราหมณ์เข้ามาปน ทั้งๆ ที่คนอ้างคนนั้นอาจไม่เคยได้อ่านคัมภีร์ของพราหมณ์ ฮินดูแม้แต่บรรทัดเดียวว่าในนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง เขาไม่ได้รู้จักพระเวท อุปนิษัท ภควัตคีตา โยคสูตร

๔. ในยุคพุทธกาลมีพวกวัตถุนิยมพวกหนึ่งถือว่าตายแล้วสูญ ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีสังสารวัฏ ไม่มีเทวดา อินทร์ พรหม พวกนี้คือจารวาก ซึ่งในพระไตรปิฎกเรียกว่าโลกายตะ และในพระไตรปิฎกอธิบายไว้ว่าภิกษุใดที่สอนโลกายตศาสตร์ถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชา

๕. คำว่าอเทวนิยม ไม่เคยมีอยู่ในพระไตรปิฎก

๖. คำว่าอเทวนิยมนั้น นักวิชาการศาสนาของไทยแปลมาจากคำว่าเอทิซึม

๗. คำว่าเอทิซึม คำนี้มาจากนักวิชาการศาสนาฝรั่งได้จัดระบบแนวคิดปฏิเสธพระเจ้า พระเจ้าในทีนี้หมายถึงพระเจ้าสร้างโลกในศาสนาหลักของฝรั่งเขานั่นเอง ซึ่งเขาจัดพระพุทธศาสนาเข้าไปในโหมดนี้ หลังจากเขาได้รู้จักพระพุทธศาสนาเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง

๘. คนในยุคปัจจุบันบางกลุ่มเห่อตามกระแส บ้างก็หลงไปเข้าใจไปเองว่าอเทวนิยมหมายถึงไม่มีเทวดา ไม่มีภพภูมิ ไม่มีนรก สวรรค์ ก็เลยกลายเป็นปฏิเสธไปหมด เป็นเพราะไม่เข้าใจเชิงลึกของภาษาและไม่รู้ประวัติศาสตร์

๙. การเข้าใจสิ่งต่างๆ ในเบื้องต้นของการศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าการศึกษาเริ่มแรกไม่ได้เข้าใจอย่างถูกต้องตามลำดับ ก็ทำให้เข้าใจพุทธศาสนาผิดเพี้ยนไปได้ เพราะไปเข้าใจคำว่าพระพุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม ถ้าจะพูดให้ชัดกว่านั้น อเทวนิยมมาจากโมหะนิยมของนักวิชาการพุทธศาสนา ที่พระพุทธศาสนาไปจัดประเภทตามใจชอบตนเอง

ความปรารถนาของผม หากมีผู้เข้าใจเช่นนี้ได้ ผู้ปฏิบัติเมื่ออ่านหนังสือ หรือฟังเทศนาจะได้ไม่ไปติดกับดักทางภาษาสมมุติ ป้องกันการเข้าใจพระพุทธศาสนาผิดๆ หลงไปเอาคำของนักวิชาการยุคหลังมาใช้ตีกรอบพระพุทธศาสนา หากหลวงพ่อเห็นว่ามีส่วนไหนที่บกพร่องที่เขียนมา และเห็นควรว่าจะเสริมปัญญาใดๆ ได้ในที่ผมยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็จะเป็นพระคุณครับ บอกตรงๆ ครับว่ายิ่งฟังหลวงพ่อเทศน์กระทุ้งยิ่งแรงเท่าไร ความศรัทธาและกำลังใจผมในการศึกษาและปฏิบัติยิ่งมากเท่านั้นครับ ขอบคุณ

ตอบ : นี่เขาได้อ่าน “ไม่เห็นตถาคต” แล้วมันถูกใจ มันถูกใจเขาที่ไม่เห็นตถาคต เพราะเขาพูดของเขาไปเอง ทีนี้เขาพูดของเขาไปเองมันเป็นสิ่งที่ว่าสังคม สังคมเรื่องศาสนาพระเราประพฤติปฏิบัติกัน แล้วพอมันมีความเห็นว่าพระประพฤติปฏิบัติแล้วมันเห็นความโต้แย้ง เขาก็เลยมีความรู้สึกนึกคิด ปฏิเสธความประพฤติปฏิบัติของพระนั้น ไปปฏิเสธความเหลวแหลกของพระที่ปฏิบัติไม่ดีไง แล้วก็เลยปฏิเสธไปหมดเลย แล้วตัวเองก็เป็นพระ แล้วตัวเองเป็นพระไปปฏิเสธสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมันไปปฏิเสธได้อย่างไรว่านรก สวรรค์ไม่มี นรก สวรรค์ถ้าปฏิบัติไปแล้วมันจะรู้จริงของมัน ถ้าเราไม่รู้จริงมันก็เป็นแบบนั้น

ฉะนั้น เพียงแต่ว่ามันเป็นความเห็นของสังคม เป็นความเห็นของที่ว่ามันเห็นผิดไง เห็นผิดพระที่ว่าปฏิบัติเหลวแหลก นี่เอานรก เอาสวรรค์ เอาเทวดา อินทร์ พรหมมาหลอกขายกัน แล้วก็ว่าสิ่งนั้นมันน่าเศร้า ก็เลยไปเห็นที่ว่าอเทวนิยมก็เลยคิดว่าเป็นอย่างนั้นไปเลย ฉะนั้น สิ่งนี้มันเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่ออย่างนั้น ฉะนั้น เวลาเขาเขียนคำถามมาเราก็พูดไปเป็นกลางๆ ยังไม่ลงลึก เพราะ เพราะสิ่งที่เขาเชื่อๆ กัน เขาก็เชื่อเพราะเขาค้นคว้ากันอย่างนั้น เราก็มีความจริงของเราในพระไตรปิฎกเหมือนกัน

ฉะนั้น ในพระไตรปิฎกก็มีส่วนหนึ่ง ฉะนั้น เวลาที่ว่าไม่เห็นตถาคตเราพูดถึงหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านเห็นของท่านจริงไง นี่เขาบอกไม่เห็นตถาคต ไปพูดถึงกลุ่มของเขาที่ไม่เห็นตถาคต คือไม่เห็นธรรม เขาก็มีความสงสัย แล้วก็มีตีความกันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ไปแบบที่เขาว่านรก สวรรค์ไม่มี แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านเห็นของท่านตามความเป็นจริง ฉะนั้น เรายกว่าถ้าไม่เห็นตถาคตคือความเห็นของเขา คือไม่เห็นตถาคต แต่ผู้ที่เห็นตถาคต ผู้ที่เห็นธรรม แล้วยกหลวงปู่มั่นขึ้นมาเปรียบเทียบกัน เปรียบเทียบกันมันเป็นกลางๆ ไง ผู้เห็นจริงกับผู้ไม่เห็นจริงมีความเห็นแบบนี้

ทีนี้คำถามมันถามมาเป็นทางวิชาการ เป็นเรื่องของตำรากับตำรา นี้เป็นเรื่องของตำรากับตำราก็ต้องอธิบายแบบนี้ อธิบาย เห็นไหม

ถาม : ๑. พุทธศาสนาอธิบายเรื่องนรก สวรรค์ เทวดา อินทร์ พรหมมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ต่อมาจนทุกๆ ยุค

ตอบ : มันจริงอยู่แล้ว มันจริงอยู่แล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นเจ้าของศาสนา แล้วธรรมวินัยมันก็เป็นเรื่องจริง เห็นไหม ดูสิในพระไตรปิฎกพูดถึงเรื่องเทวดา เรื่องอินทร์ เรื่องพรหมเยอะแยะมาก เริ่มต้นตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเลย นี่พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเสวยวิมุตติสุข แล้วเวลาจะออกบิณฑบาตไง นี่อนาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่อดีตมาทำมาอย่างไร นี่ท่านก็เล็งญาณดู ทีนี้เทวดาก็มาถวายบาตร ๔ ลูก แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอธิษฐานเหลือใบเดียว บาตร ๔ ใบอธิษฐานเหลือใบเดียว

นี่เริ่มต้นเลยก็เริ่มตั้งแต่เทวดามาถวายบาตรเลย แล้วเวลาถวายบาตรแล้วมันมาตั้งแต่ต้นเลย แล้วปฏิเสธได้อย่างไรว่าเทวดา อินทร์ พรหมไม่มี นี่พูดถึงเวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไปบุพเพนิวาสานุสติญาณ ปฏิเสธตรงนี้ได้อย่างไร ปฏิเสธบุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมมา ปฏิเสธตรงนี้ได้อย่างใด

มันปฏิเสธไม่ได้หรอก วิชชา ๓ มันปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว แล้วพอปฏิเสธไม่ได้ เรื่องนรก สวรรค์ ถ้าปฏิเสธเรื่องนรก สวรรค์มันเท่ากับปฏิเสธเรื่องวัฏฏะนะ วัฏวน กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่กามภพตั้งแต่กามลงมา รูปภพ อรูปภพตั้งแต่พรหมขึ้นไป พรหมที่มีรูปกับพรหมที่ไม่มีรูป รูปพรหม อรูปพรหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่ผลของวัฏฏะ มันปฏิเสธผลของวัฏฏะ คือมันปฏิเสธธรรมชาติว่าอย่างนั้นเลย

ถ้าพูดถึงนรก สวรรค์ไม่มีเท่ากับปฏิเสธธรรมชาติไปเลย ปฏิเสธจักรวาล ปฏิเสธดวงดาวไปเลย มีแต่โลก มีแต่ดาวดวงเดียวคือโลก ดาวดวงอื่นไม่มี ปฏิเสธไปเลย ถ้าปฏิเสธนรก สวรรค์ก็เท่ากับปฏิเสธจักรวาล ถ้าปฏิเสธนรก สวรรค์ ปฏิเสธเทวดา อินทร์ พรหมก็เท่ากับปฏิเสธวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ มันปฏิเสธไปเลยมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ทีนี้พอเป็นไปไม่ได้ พระที่ปฏิบัติกันมาเขาก็เหลวแหลกกันมา เขาก็เอาเรื่องนรก สวรรค์เป็นสินค้ากัน เห็นไหม พอเทวดาก็ฉายแสงเลเซอร์เลย เทวดามาแล้วบนก้อนเมฆ

นี่เขาเองเขาก็เอาเรื่องเทคโนโลยีมาพยายามสร้างภาพขึ้นมาเพื่อให้เป็นความเชื่อถือ อันนั้นมันก็เป็นพระที่ปฏิบัติเหลวแหลก อันนั้นก็เป็นเรื่องของเขา ผู้ที่ฝ่ายปกครองมันก็ต้องจัดการกันไป แต่ถ้าความเชื่อนะ ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม นรก สวรรค์ เรื่องเทวดา อินทร์ พรหมมันไม่มีได้อย่างไร แต่ แต่ในเมื่อเขาเป็นนักวิชาการ เป็นปัญญาชน ถ้าเชื่อเรื่องนรก สวรรค์มันก็จะเป็นพวกล้าหลัง พวกที่มีแต่ความเชื่อ แต่ถ้าเป็นปัญญาชนก็เลยไม่เชื่อ

มันเรื่องกิเลสทั้งนั้นแหละ เพราะสิ่งนี้มันเป็นความเชื่อ มันเป็นเรื่องทางวิชาการ ถ้าวิชาการนี้เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นความเชื่อได้อย่างไร? ก็ความเชื่อในการศึกษา เชื่อในทางวิชาการไง เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ไง แต่ถ้าปริยัติแล้วปฏิบัติล่ะ? นี่ถ้าปฏิบัติจะพิสูจน์แล้ว พิสูจน์เลย นี่เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านไปหาหลวงปู่มั่น นี่กลิ่นอะไรมันหอมๆ ไม่ใช่กลิ่นธูป กลิ่นเทียน นี่ผู้รู้กับผู้รู้เขารู้กัน แล้วผู้ที่ไม่รู้เยอะแยะไปหมด พระปฏิบัติมาไม่รู้ก็ยังไม่รู้ แต่ฟังที่ผู้รู้เขาพูด

หลวงปู่ฝั้นท่านไปกราบคารวะหลวงปู่มั่น แล้วท่านก็ไปคารวะ หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ หลวงปู่ฝั้นพูดกับหลวงปู่มั่นไง นี่กลิ่นหอมเต็มไปหมดเลย บริเวณนี้จะหอม แต่ไม่ใช่กลิ่นหอมของธูป ของเทียน นี่หลวงปู่มั่นท่านก็รับรู้ รับทราบไว้ นี่ผู้รู้กับผู้รู้เขาคุยกัน แต่นี้พอเราว่านรก สวรรค์ไม่มี นรก สวรรค์นี่ผู้ไม่รู้ ผู้ไม่รู้จะบอกว่ารู้มันก็จนตรอกเหมือนกัน มันก็รู้ไม่ได้ พอรู้ไม่ได้ เห็นพวกพระกลุ่มหนึ่งที่เอานรก สวรรค์มาเป็นสินค้า ก็บอกปฏิเสธพวกนั้นไป ก็เลยปฏิเสธไปหมดเลย

นี่ข้อที่ ๑ ไง บอกว่า

ถาม : พระพุทธศาสนาอธิบายเรื่องนรก สวรรค์ เทวดา อินทร์ พรหมมาตั้งแต่ยุคแรกๆ และมาทุกๆ ยุค

ตอบ : แล้วมันก็มีของมันจริงอยู่แล้ว มันมีแบบจักรวาล มันมีแบบดวงดาว มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ มีหมดเลย แต่พูดถึงว่าเราปฏิเสธแล้วก็ต้องปฏิเสธดวงอาทิตย์ด้วย ปฏิเสธดวงจันทร์ด้วย ดวงอาทิตย์ก็ไม่มี ดวงจันทร์ก็ไม่มี มีแต่โลกใบนี้ แล้วโลกใบนี้ก็เปล่งแสงเอง มีพลังงานเอง มันก็หมุนไปในตัวมันเอง อ้าว โลกใบนี้ก็อยู่ของมันในโลกนี้ นี่ก็คิดอย่างนี้สิถ้านรก สวรรค์ไม่มี นี่พูดถึงถึงวิทยาศาสตร์นะ แต่ถ้ามีแล้ว ภาษาเรา

นี่เขาถามมาครั้งที่แล้ว ไม่เห็นตถาคตเราพูดไปเป็นกลางๆ เป็นกลางๆ หมายความว่าในสังคมมันก็มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โลกธรรม ๘ มันมีอยู่ของมันทั้งนั้นแหละ แต่ในเมื่อคำถามอย่างนั้นมาเราก็ตอบไปเป็นกลางๆ แต่ถ้าพูดถึงพิสูจน์กัน เน้นย้ำกันโดยข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้ แล้วนี่ข้อ ๒

ถาม : นรก สวรรค์ ภพ ภูมิ เรื่องเทวดาต่างๆ ในตำราพุทธศาสนากับตำราศาสนาพราหมณ์ ฮินดูมันไม่เหมือนกัน

ตอบ : เห็นไหม มันไม่เหมือนกัน นี่ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์มันก็ไม่เหมือนกัน นี่ศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์เขาเชื่อของเขา เขาเกิดมาวรรณะของเขา เขามีวรรณะของเขา เกิดอย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าจะดูแลอย่างนั้น แล้วถึงเวลาก็อ้อนวอนกันไป นี่อ้อนวอนกันไป นี่ความเห็นของเขาอย่างนั้น แต่ในเรื่องสวรรค์ ภพ ภูมิของพุทธศาสนาไม่เป็นแบบนั้น เวลาเทวดา เทวดามาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นอย่างนี้ เวลาเทวดา เทวดาเขาทำคุณงามความดี เทวดามาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นไป นี่ภพ ภูมิเขาเลื่อนของเขา มันแตกต่างกัน มันอยู่ที่การทำความดี ความชั่วของเขา

ไม่ใช่พราหมณ์ พราหมณ์นี่ไม่ได้ พราหมณ์นี่ต้องอ้อนวอนอยู่ที่พระเจ้ากำหนด ทำดี ทำชั่วพระเจ้าเป็น นี่อ้อนวอนก็ไปชำระล้างบาปกัน เช้าขึ้นมาก็ต้องไหว้พรหมเพื่อจะเอาใจไง มันก็เหมือนสมัยโบราณที่ถือเทพเจ้าต้องบูชายัญ เขาบูชายัญกัน เขาทำอย่างไรก็แล้วแต่ให้พระเจ้าเขาพอใจ แต่ของเราพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอกเทวดาก็ต้องการบุญกุศล พรหมก็ต้องการบุญกุศล บุญกุศล บุญบาปทำให้จิตใจนี้เวียนว่ายในวัฏฏะ เราทำบุญกุศลอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ให้เทวดา อินทร์ พรหม เราทำของเรา นี่พูดถึงมันไม่เหมือนกัน

ถาม : ๒. นรก สวรรค์ ภพ ภูมิ เรื่องเทวดาต่างๆ ในพุทธศาสนากับในตำราพราหมณ์มันไม่เหมือนกัน

ตอบ : ไม่เหมือนกันแล้วทำไมเอาเรื่องพราหมณ์มาดูถูกเหยียดหยามกัน ว่านี่เข้ามากับพราหมณ์ แล้วเวลาศาสนาผี ศาสนาดึกดำบรรพ์ของมนุษยชาติ มนุษยชาติในโลกนี้ก็ถือผีทั้งนั้นแหละ กลัว ถือพระเจ้า ถือผีหมด นี่เพราะถือหมดนี่ศาสนาผี แล้วทีนี้ศาสนาถือผี แล้วพุทธเข้ามา พุทธกับผีก็เลยรวมกัน พอรวมขึ้นมามันก็เป็นไสยศาสตร์อย่างที่เขาบอกว่าพระกลุ่มหนึ่งไปเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ก็ว่าเชื่อเรื่องผี เรื่องสาง เราก็ดูถูกเขาว่าพวกนี้พวกไสยศาสตร์ พวกนี้พวกงมงาย พอเราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามา เราก็เลยไปดูถูกเหยียดหยามเขาอีกด้วยเรื่องพราหมณ์ เรื่องต่างๆ นี้ความเห็นมันแตกต่างกัน

ถาม : ๓. แต่คำว่าพราหมณ์ในยุคหลัง ถูกคนบางกลุ่มเอามาใช้เป็นคำดูถูก เป็นคำด่าว่างมงาย ล้าหลัง และมักจะกล่าวหมิ่นพระไตรปิฎกว่ามีของพราหมณ์เข้ามาปน ทั้งๆ ที่คนอ้างนั้นไม่เคยได้อ่านคัมภีร์ของพราหมณ์ฮินดูแม้แต่บรรทัดเดียวว่าในนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง เขาไม่รู้จักพระเวท อุปนิษัท ภควัตคีตา โยคสูตร

ตอบ : นี่สูตรของพราหมณ์ พราหมณ์เขาท่องบ่นกัน นี้ท่องบ่นกันแล้วเขาเข้าใจของเขา อ้อนวอนอยู่อย่างนั้น แล้วเวลาว่ามีพราหมณ์เข้ามาปน พราหมณ์เข้ามาปน ไอ้เรื่องพราหมณ์เข้ามาปนในพระไตรปิฎกไง เขาจะดูหมิ่นว่าถ้าใครเชื่ออย่างนี้เป็นเชื่อเรื่องของพราหมณ์ เขาแยกแยะไม่ได้ไงว่าวัฏฏะ เทวดา อินทร์ พรหมในพุทธศาสนาก็มี แต่มีในแบบพระพุทธ พุทธศาสนา มีแบบที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ นี่เวลาเทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ เวลาเทวดามาถามธรรมะพระพุทธเจ้า เวลาพรหมมาถามธรรมะพระพุทธเจ้า

นี่เขามาในพุทธศาสนา เทวดา อินทร์ พรหมในพุทธศาสนาเขาถามแบบนี้ แต่ในเรื่องของพราหมณ์เขาไม่ได้พูดแบบนี้ เขาเคารพบูชา เขาเคารพบูชา เห็นไหม พระเจ้าของเขา พวกพรหม พวกอะไรที่เขาเคารพของเขา พระพรหม พระอะไรเขาเคารพของเขาอย่างนั้น นี่เขาเคารพบูชา แต่ของเราไม่ใช่ เขามาเอาบุญ เขามาเอาบุญกับพระกัสสปะ เขามาเอาบุญกับพระสารีบุตร มันคนละเรื่องกัน มันคนละเรื่องกัน ไกลกันมากเลย แต่เวลาเราคิดเราคิดแบบนั้นไง เพราะว่ามันเชิงการศึกษา

ในเชิงการศึกษา เห็นไหม ดูสิเวลาประเทศชาติที่เจริญแล้วเขาจะให้ทุนการศึกษากับประเทศที่ด้อยพัฒนา ด้อยพัฒนาเขาก็ส่งคนไปศึกษาในประเทศที่พัฒนาแล้ว ฉะนั้น มันก็แบบว่าเป็นอาณานิคมทางความคิด ถ้าเป็นอาณานิคมทางความคิด เวลาเขาจะมีปัญหาทางการเมืองเขาจะคุยกันรู้เรื่องเพราะมันมีอาณานิคม อาณานิคมทางความคิดไง เพราะเราไปศึกษากับชนชาติใด เราก็จะมีวัฒนธรรมแบบนั้น เข้าใจเรื่องแบบนั้น มันจะเข้าใจกันได้ง่าย

ฉะนั้น เวลาเดี๋ยวนี้ในการศึกษา เห็นไหม การศึกษาพอเราศึกษายุคหลัง ยุคหลังๆ เวลาเราศึกษา พอศึกษานี่ เราไปศึกษา มันศึกษาทางอเทวนิยม ศึกษาทางปรัชญา ศึกษาทางศาสนา ศึกษาต่างๆ มันศึกษามาจากไหน? คนเขียนตำราใครเขียนตำรา? ฝรั่งเขียนตำรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเรามีปัญหากัน มีความเห็นต่างกันในพุทธศาสนา เราบอกจะไปฟ้องยูเอ็น แล้วยูเอ็นมันเกี่ยวอะไรกับศาสนาล่ะ? งงมากนะ เราเห็นพระบอกจะไปฟ้องสหประชาชาติ เราเศร้าใจ ทำไมเอ็งไม่ฟ้องพระพุทธเจ้า ไม่ฟ้องธรรมวินัย ไม่ฟ้องเจ้าของศาสนา ไม่ฟ้องผู้รู้ล่ะ? ทำไมไปฟ้องยูเอ็น ยูเอ็นมันฝรั่งทั้งนั้นแหละ มันถือคริสต์กัน

นี่ไงความเชื่อมันเป็นแบบนี้ไง แล้วบอกว่าเป็นพราหมณ์ๆ เป็นพราหมณ์มึงจะไปฟ้องยูเอ็น ใครถ้าไม่พอใจจะไปฟ้องยูเอ็น จะไปฟ้องยูเอ็น ยูเอ็นมันรู้อะไรกับศาสนา ยูเอ็นมันเข้าใจอะไรเรื่องภพชาติ ยูเอ็นมันเข้าใจเรื่องอะไร? กฎสหประชาชาติมันก็เขียนกันขึ้นมา ประชุมกันแล้วก็ลงความเห็นกัน เขียนกฎสหประชาชาติขึ้นมา แล้วเวลาเอ็งมีความขัดแย้งกัน ความรู้สึกนึกคิดเอ็งก็ไปฟ้องสหประชาชาติ เอ็งไปฟ้อง

คนที่พูดอย่างนี้ได้แสดงว่าไม่มีกึ๋น ไม่เป็นชาวพุทธ ชาวพุทธถ้ามีปัญหามันก็ต้องรื้อค้นจากธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าออกมาวิเคราะห์วิจัยกันว่ามันถูกต้องดีงามตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ไม่ใช่ไปฟ้องไอ้คนนอกศาสนา ไปฟ้องใครก็ไม่รู้ แล้วบอกไปฟ้องยูเอ็น ฟ้องยูเอ็น นี่ไงเป็นอาณานิคมทางความคิดไง

นี่ก็เหมือนกัน พอเราไปศึกษา ใครได้ด็อกเตอร์ ได้ศาสตราจารย์มาก็เอาความคิดอย่างนี้เข้ามาวิจัยศาสนาว่าศาสนาเป็นอย่างนั้นๆ เอ็งรู้อะไร? เอ็งรู้อะไรกัน? เอ็งไม่รู้อะไรเลย แล้วก็บอกว่าเป็นพราหมณ์ๆ มันต้องแยกแยะ คำพูดคำเดียวกัน แต่พูดในมุมมองของพระพุทธศาสนา กับพูดในมุมมองของพราหมณ์ พูดในมุมมองของลัทธิใด คำพูดคำเดียวกัน ดูสิแม้แต่ภาษา ภาษานี่สิ่งเดียวกันก็พูดแตกต่างกัน แล้วเวลาเขาพูดแล้วเอ็งจะไปเชื่อเขาล่ะ? แล้วจะย้อนกลับมา คำเขียนนี่อ่านแล้วมันน่าเศร้าไง

ถาม : แต่คำว่าพราหมณ์ในยุคหลังถูกคนบางกลุ่มนำมาใช้เป็นคำดูถูก เป็นคำด่าว่างมงาย ล้าหลัง และมักมากล่าวหมิ่นพระไตรปิฎก

ตอบ : ศึกษามาจนเป็นปัญญาชน ไปเอาคำพูดมาแล้วกลับมาดูถูกดูหมิ่น มันก็เหมือนกับพวกเราส่งลูกไปเรียนกรุงเทพฯ กันไง พอกลับมามันอายว่าพ่อแม่มันยากจน มันอายว่าพ่อแม่มันเป็นชาวนา มันได้เป็นอธิบดีมา มันไม่กล้าบอกใครว่ามันเป็นลูกชาวนา มันกลัวคนดูถูกกำพืด

นี่ถึงได้บอกไง ถึงได้ไปเอาคำว่าพราหมณ์มากล่าวตู่ดูหมิ่นพระไตรปิฎก มากล่าวตู่ดูหมิ่นพ่อของมัน ไม่กล้าบอกว่าพ่อเราดีหรือชั่ว จะพูดให้ใครฟังว่าพ่อเราเป็นใคร อายเขาต้องไปฟ้องยูเอ็น ถ้าไปฟ้องยูเอ็นมันเท่ห์ มันเท่ห์มาก ถ้าไปฟ้องยูเอ็นรู้สึกว่าเท่ห์มากเลย แต่ไม่บอกว่าเรานี่เป็นลูกชาวนา พ่อแม่เราทำนามา ไม่กล้าบอกว่าพ่อทำนา ไม่กล้าพูดว่าพ่อทำนา เศร้า นี่คำพูดเขาพูดอย่างนี้แล้วเราก็เศร้าตามไปด้วยนะ

ฉะนั้น ถ้าเราไม่เศร้าเราต้องยืดอก เรามั่นใจ เห็นไหม คนมีค่าเท่าคน พ่อแม่ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ตามวินัยวางไว้ แล้วเรามากล่าวเอง กล่าวดูหมิ่นกันเอง ทั้งๆ ที่เราเป็นชาวพุทธด้วยกันเอง นี่คนที่เขามีปัญญาเขาเห็นไอ้พวกที่มีความคิดว่าเป็นปัญญาชน ที่ว่าตัวเองเท่ห์มากเลย ไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องเทวดา อินทร์ พรหม

ไม่ปฏิบัติไม่รู้หรอก คนที่เขาปฏิบัติขึ้นมานะ เวลาจิตมันสงบเข้ามา เวลามันเห็น เห็นภพชาติที่ตัวเองเคยเป็น น้ำหูน้ำตาร่วง โอ้โฮ มันสลดสังเวช มันสังเวชมาก มันธรรมสังเวช มันสะเทือนใจมาก แต่ไอ้นี่ไปเชื่อกันมาแล้วก็มาอวดอ้างกันเฉยๆ มันน่าเกลียด ฉะนั้น เพียงแต่ว่าถ้าพูดไปแล้วมันก็เหมือนปริยัติ ปฏิบัติ เวลาปริยัติขึ้นมาก็ว่าปริยัติต้องศึกษา เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วก็จะมาดูถูกว่าไอ้คนนั้นดูหมิ่น ดูถูก

อันนี้ไม่ใช่ดูหมิ่น ดูถูกหรอกมันเป็นอำนาจวาสนาของคน มันเป็นที่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม เป็นสมาธิธรรม เป็นปัญญาธรรม แล้วเป็นธรรมธาตุมันจะซึ้งมาก แล้วมันจะเข้าใจมาก จะเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าของจิตดวงนี้มาก

ถาม : ๔. ในยุคพุทธกาล มีพวกวัตถุนิยมพวกหนึ่งที่ถือว่าตายแล้วสูญ ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีสังสารวัฏ ไม่มีเทวดา อินทร์ พรหม พวกนี้เป็นจารวาก ซึ่งในพระไตรปิฎกเรียกว่าโลกายตะ และในพระไตรปิฎกอธิบายว่าภิกษุใดสอนโลกายตศาสตร์ถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชา

ตอบ : มันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มันมีมาตั้งแต่ทุกสมัย นี่พูดถึงเวลาคนเห็นผิดนะ เวลาคนเห็นผิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระสารีบุตรไปเทศนาว่าการ ไปสอน ถ้าไม่เชื่อให้ขับออกไป แล้วถ้าใครไปคบนะ ใครไปคบ

อยู่ในปาติโมกข์ นี่ถ้าใครไปคบให้เป็นอาบัติเลย ไม่ให้คบ ถ้ามีความเห็นผิดไง ความเห็นผิดเรื่องนิพพานสูญ เรื่องนิพพานเป็นอัตตา มันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในปาติโมกข์ด้วย ปาติโมกข์ถ้ามีใครเห็นผิดอย่างนี้ ดูสิว่ากล่าวตู่พุทธพจน์ กล่าวตู่พุทธพจน์ ถ้าภิกษุสงฆ์สวด ๓ หน สวดคือแบบว่าอธิบายให้เขามีความเห็นให้เขาเห็น ทิ้งความเห็นเดิมถึง ๓ ครั้ง ถ้าเขาไม่ทิ้งเป็นอาบัติสังฆาทิเสส ในพระไตรปิฎกมีหมดเลย เพราะธรรมดาของความคิด การเวียนตายเวียนเกิดมันมีมาอย่างนั้น

ฉะนั้น สมัยพุทธกาลก็มี แล้วในสมัยปัจจุบันนี้มันก็อยู่ที่ว่าวุฒิภาวะ อยู่ที่สายบุญสายกรรม ใครจะเชื่ออย่างนั้น แต่ถ้าคนที่มีสติปัญญานะ มันจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรามีครูบาอาจารย์ นี่ต้องฟังความหลายๆ ทาง อย่าฟังความข้างเดียว อันนี้คือความเห็นนะ

ถาม : ๕. คำว่าอเทวนิยมไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก

ตอบ : มันจะอยู่ในพระไตรปิฎกได้อย่างไรล่ะ อเทวนิยมคือการปฏิเสธสิ่งที่มีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธจักรวาลหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอกเลย ในพระไตรปิฎกนะว่ามีถึงพระอาทิตย์ ๗ ดวง พระอาทิตย์ ๗ ดวง อันนี้ถ้าคนเถียงเขาก็บอกว่าอยู่ในอรรถกถา

อเทวนิยม ถ้าอยู่ในพระไตรปิฎก คนที่เห็นจริง คนที่รู้จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกนอกและโลกใน โลกในคือโลกใน เรื่องโลกกิเลส เรื่องจิตของเราที่เวียนตายเวียนเกิด โลกนอกคือสิ่งที่เรายืน โลกนี้เป็นอจินไตย แล้วถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้แจ้งทั้งโลกนอกและโลกใน แล้วจะบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกมันจะเป็นไปได้อย่างไร มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเป็นไปไม่ได้ ทีนี้มันก็มาที่นี่แล้ว มาที่ข้อ ๒

ถาม : ๒. คำว่าอเทวนิยมนั้น นักวิชาการศาสนาของไทยแปลมาจากคำว่าเอทิซึม

ตอบ : นี่มันนักศาสนาแปลกันมา ถ้าแปลกันมาเราว่าอเทวนิยม อเทวก็เป็นพวกๆ หนึ่ง ถ้าพวกๆ หนึ่งก็เหมาเลยอย่างที่เขาว่า

ถาม : ๗. คำว่าเอทิซึม คำนี้มาจากนักวิชาการศาสนาฝรั่งได้จัดระบบแนวคิดปฏิเสธพระเจ้า คำว่าพระเจ้าในที่นี้หมายถึงพระเจ้าสร้างโลกในศาสนาหลักของฝรั่งเขานั่นเอง ซึ่งเขาจัดพุทธศาสนาเข้าไปในหมวดนี้หลังจากที่มารู้จักพุทธศาสนาเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง

ตอบ : เขาจัด เห็นไหม คำว่าเขาจัด ทีนี้คำว่าเขาจัด พุทธศาสนาก็เป็นพุทธศาสนา แต่อย่างศาสนาที่ว่าพระเจ้าๆ เป็นเรื่องของเขานะ เป็นเรื่องของเขา เพราะถ้าคนที่ยังภาวนาไม่ได้ คำว่าภาวนายังไม่เป็นเราก็คิดถึงเรื่องจิต เรื่องสิ่งที่ว่าความลี้ลับเราก็ไม่อยากไปดูถูกดูหมิ่นใช่ไหม เราไม่สร้างเวรสร้างกรรม แต่ผู้ที่ปฏิบัติแล้ว ไอ้เรื่องคำว่าพระเจ้าๆ คำว่าพระเจ้าของเขามันเป็นสิ่งที่ว่าไม่มีเลยว่าอย่างนั้น เพราะว่าจิตมันเวียนตายเวียนเกิด วัฏฏะมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คำว่าพระเจ้าของเขาเป็นผู้สร้างโลกมันไม่มีหรอก

ทีนี้มันไม่มี ทีนี้ศาสนามันเป็นลัทธิความเชื่อของเขา นี้ศาสนาเขาจัดอย่างนั้น เพราะถ้าใครมีแนวคิด เห็นไหม แนวคิดปฏิเสธ คือคนนี้นอกศาสนา พวกนี้ถ้าเป็นสมัยยุคที่ศาสนาเขารุ่งเรืองเขาก็บอกว่าเป็นพวกแม่มด เป็นพวกแม่มด เป็นพวกที่ความเห็นผิด เขาจับเผาเลยนะ คนที่เห็นผิดเขาเผาทั้งเป็น นั่นเป็นเรื่องศาสนาเขา ไม่ควรพูดก้าวล่วงศาสนาคนอื่นเนาะ (หัวเราะ) วิจารณ์ศาสนาคนอื่นแล้วมันจะยุ่งนะ

นี้พูดถึงเป็นความเชื่อเขาเขียนมาอย่างนี้ เราไม่อยากก้าวล่วงหรอก ไม่เชื่อเลย เราไม่เชื่อเลย ทีนี้พอไม่เชื่อ แล้วเป็นทางวิชาการ ถ้าเป็นวิชาการ เป็นทฤษฏี แล้วเราไปศึกษามาเราจะยึดเอง แล้วเอามาวิเคราะห์ศาสนาของเราเอง เห็นไหม เป็นลัทธิอาณานิคมทางความคิด ไปศึกษามา ไปเรียนกับเขามาแล้วก็ไปเชื่อเขามา แล้วก็จะมาวิเคราะห์วิจัยในเรื่องศาสนาของเรา

ในเมื่อเราเป็นอาณานิคม เรามีความเชื่ออย่างนั้น เรามีความเชื่ออย่างนั้นแล้วเราจะเหมา แล้วกลับมายังดูถูกปู่ ย่า ตา ยายอีกนะ ว่าปู่ ย่า ตา ยายเป็นคนครึ คนล้าสมัย ไอ้นี่เป็นคนทันสมัยเลย ไปโดนเขาล้างสมองมายังไม่รู้ว่าเขาล้างสมอง ไปล้างสมองมา อย่างนี้มันก็เหมือนกับแมลง ในมด ในแมลงเขาจะจับมดมา แล้วเอาสารพิษใส่ในมดตัวนั้น มดตัวนั้นมันจะเข้าไปในรังนั้น ไปแพร่สารพิษนั้น มดรังนั้นทั้งรังตายหมดเลย

นี่ไปศึกษา ไปศึกษาทางวิชาการกันมา แล้วกลับมาเอาความคิดอย่างนี้กลับมาทำลายศาสนาของเรากันเอง นู่นก็ไม่ใช่ นั่นก็ไม่มี นรกก็ไม่มี สวรรค์ก็ไม่มี มันปฏิเสธจักรวาลไปเลย แล้วโลกนี้มันจะหมุนอยู่ได้อย่างไรล่ะ? แต่ความจริงก็คือความจริง จักรวาลนี้คือจักรวาล โลกนี้ก็อยู่ในจักรวาลนั้น โลกนี้ก็อยู่ในแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์

นี่มันมีความจริงของมัน เราจะปฏิเสธไม่ปฏิเสธมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น นรก สวรรค์ เทวดา อินทร์ พรหมเขาก็มีของเขาจริงอยู่อย่างนั้น จะปฏิเสธหรือจะอย่างไรเขาก็มีอยู่อย่างนั้น เพียงแต่เราจะปฏิเสธก็เหมือนไก่ เวลาไก่มันจะหนีพวกนายพรานนะ มันเอาหัวมันทิ่มเข้าไปในใบไม้ แล้วมันบอกไม่มีใครเห็นมันไง เวลาไก่นะมันจะหนีนายพราน มันเอาหัวมันทิ่มเข้าไปในกองขยะ แล้วมันก็นึกว่ามันหลบพ้นไง

นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิเสธนรก สวรรค์ ปฏิเสธไปเถอะ เหมือนไก่ เอาหัวทิ่มเข้าไปในเศษใบไม้ แล้วก็นึกว่ามันไม่มี มันไม่มี มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นแหละ นี่ความเห็นผิด ความเห็นผิดของเขา ไก่ เราเป็นสัตว์ใช่ไหม นักล่ามาแล้วหนีเอาตัวรอดให้ได้ ถ้าหนีไม่ได้แล้วทำอย่างไร ไอ้นี่เอาหัวทิ่มเข้าไปในใบไม้ไง แล้วก็บอกว่านักล่าไม่เห็นเรา นักล่าไม่เห็นเรา ไม่เห็นเดี๋ยวมันเอาไปต้ม มันเอาไปต้มกินแล้ว

นี่ความคิดกับความจริงมันเป็นแบบนั้น นี้เรามีความเชื่ออย่างนั้น เรามีความเชื่ออย่างนั้น ในเมื่อศาสนาเขาเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น แล้วเราไปศึกษาทางวิชาการมามันต้องวางไว้ก่อน มันคนละทิศ คนละศาสนา เขาเรียกว่าศาสนสัมพันธ์ เวลาเขาคุยกันนะเขาบอกว่าเป็นศาสนาสัมพันธ์ ถ้าศาสนาสัมพันธ์มันสัมพันธ์กันเพื่อประโยชน์ หรือสัมพันธ์กันเพื่อเป็นขี้ข้าเขาล่ะ? ศาสนสัมพันธ์นี่ม้าอารีไง ม้าอารีใครมาก็แหม ศาสนสัมพันธ์ แบกเขาไปหมดเลย ม้าอารีนั่นล่ะมันจะแบกจนตาย แล้วมันจะไปไม่ได้ม้าอารีตัวนั้น ม้าอารีมันมีสติปัญญาของมันนะ แล้วมันจะไม่ทำให้เสียหาย ไม่ทำให้บ้านเรือนเสียหายด้วย

ถาม : ๘. ในยุคปัจจุบันบางกลุ่มเห่อตามกระแส บ้างก็หลงไปเข้าใจเองว่าอเทวนิยมหมายถึงไม่มีเทวดา ไม่มีภพภูมิ ไม่มีนรก สวรรค์ เลยกลายเป็นปฏิเสธไปหมด เป็นเพราะไม่เข้าใจเชิงลึกของภาษา และไม่รู้ประวัติศาสตร์

ตอบ : ไม่รู้ประวัติศาสตร์เพราะเขาไม่ได้ เขาไปศึกษาลัทธิศาสนาอื่นหมด เขาไปศึกษาทางอเทวนิยม แต่เขาไม่ศึกษาพระพุทธศาสนา แต่ถ้าเขาศึกษาพุทธศาสนาเขาไม่ได้ปฏิบัติจริง เขาก็เอาสิ่งที่เขาศึกษามา เอาอาณานิคมความคิด เอาความคิดที่เป็นอาณานิคมมาศึกษา พอมาศึกษา ศึกษาไปแล้วมันก็มีความเห็นแตกต่างกันไป เขาไม่ได้ตามความจริง เห็นไหม ถ้าเขาไม่รู้เชิงลึกทางภาษา เชิงลึกภาษา ภาษามันตีความอย่างไร ภาษานี่ความเข้าใจภาษาอย่างไร เขาไม่เข้าใจเรื่องภาษา เขาไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์ เห็นไหม ดูสิขนาดที่ว่าพุทธศาสนาหมดไปในอินเดีย ในอินเดียเป็นพราหมณ์หมดเลย แล้วพอพราหมณ์หมดเลยเป็นอะไรนะ เป็นพราหมณ์สถาน เขาเป็นแว่นแคว้น แล้วอังกฤษเข้ามาปกครอง พออังกฤษเข้ามาปกครอง อังกฤษเขาสนใจทางประวัติศาสตร์ เขาไปรื้อค้น เขาไปค้น เขาไปรื้อทางประวัติศาสตร์ เขาถึงไปเห็นรากฐานทางพุทธศาสนา

นี่รื้อค้นทางพุทธศาสนา ดูสิเขานับถือศาสนาพราหมณ์ แต่ตราสัญลักษณ์ของอินเดีย นั่นล่ะเป็นตราสัญลักษณ์ของพระเจ้าอโศกสร้างไว้ เป็นตราสัญลักษณ์ของชาวพุทธทั้งนั้นเลย ที่ว่าเป็นพราหมณ์ๆ ตราสัญลักษณ์ ตราประจำชาติของอินเดียนั่นน่ะ ไอ้ตราประทับนั่นน่ะ ไอ้สิงห์ ๔ หัวนั่นน่ะของใคร? พุทธศาสนาทั้งนั้น ของพระเจ้าอโศกทั้งนั้น

นี่อังกฤษเขามา เขารื้อค้นทางประวัติศาสตร์ แล้วเขาไปเจอพระบรมสารีริกธาตุ แล้วเขามาถวาย รัชกาลที่ ๕ เราอยู่ที่วัดภูเขาทอง ทางประวัติศาสตร์เขารื้อค้นประวัติศาสตร์ แล้วเขายังไปค้นคว้าขึ้นมา แล้วพอค้นคว้าขึ้นมา พุทธศาสนาถึงกลับเข้าไปในอินเดีย นี่พูดถึงพวกพราหมณ์นะ พวกพราหมณ์เขามีความเห็นอย่างหนึ่ง แล้วทางประวัติศาสตร์กว่าเราจะไปเอาสังเวชนียสถานทั้ง ๔ กลับมา กลับมาจากพราหมณ์ พราหมณ์เขาไปตั้งศิวลึงค์ไว้ แล้วเราไปเอาออก เราไปเอาออกแล้วไปรื้อฟื้น ไปฟื้นฟู

นี่ฟื้นฟูทางประวัติศาสตร์มันก็ได้เชิงมาเห็นไหม เราไปเรียน ดูสิเขาไปเรียนด็อกเตอร์กันที่อินเดีย เห็นไหม ไปเรียนบาลี ไปเรียนทางภาษา แต่เวลาเรียนภาษามาเป็นปริยัติ แล้วถ้าเราปฏิบัติล่ะ ถ้าคนมันไม่เห่อไง คนนี่ไม่รู้ประสีประสาเลย พอไปเรียนภาษาขึ้นมานี่เห่อไปกับเขา อเทวนิยมเลย จัดหมวดหมู่ให้เสร็จเลย เออ แล้วไม่ปฏิบัติเลย

“ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต”

ทั้งๆ ที่พุทโธอยู่ในใจของตัว ทั้งๆ ที่ตัวเองมีจิต แต่กลับไปสนใจกับเชิงวิชาการ มองข้ามหัวใจ มองข้ามพุทธะในใจเลย ถ้ามองข้ามพุทธะในใจ ไม่เคยกำหนดพุทโธ ไม่เคยทำให้ใจสงบ ไม่เคยรื้อค้นความเป็นพุทธะในหัวใจ นี่เหยียบย่ำความเป็นพุทธะในหัวใจ แล้วไปเชื่อในหลัก ในอาณานิคม ในการศึกษาจากพวกที่เขาจัดหมวดหมู่ อันนั้นความเห็นที่น่าสังเวชไง

ถาม : ๙. การเข้าใจสิ่งต่างๆ ในเบื้องต้นในพุทธศาสนา ถ้าการศึกษาเริ่มแรกไม่เข้าใจอย่างถูกต้องเป็นลำดับ ก็ทำให้เข้าใจพุทธศาสนาผิดเพี้ยนไป เพราะไปเข้าใจคำว่าพุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม ถ้าพูดให้ชัดกว่านั้น อเทวนิยมมาจากโมหะนิยมของนักวิชาการพุทธศาสนา ที่พุทธศาสนาไปจัดประเภทไว้ตามใจชอบ

ตอบ : นี่ไงอโมหะนิยม โมหะนิยมเลย นี่เราว่าอเทวนิยมเป็นโมหะนิยม อเทวนิยมเขาก็จัดหมวดหมู่เอง จัดหมวดหมู่ เห็นไหม นี่พระเจ้าองค์เดียวกับพระเจ้าหลายองค์ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราปฏิเสธหมดไม่ให้เชื่อพระเจ้า ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อสัจธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธทั้งอเทวนิยม ปฏิเสธทั้งสิ่งที่ว่าเทวนิยม ปฏิเสธหมด เพราะสิ่งนั้นเป็นผลของวัฏฏะ สิ่งนั้นมันมีของมันอยู่ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาชำระล้างจิตใจ ในศาสนาพุทธ ใครสิ้นสุดแห่งทุกข์ให้จิตมันไม่เกิดไม่ตาย

อเทวนิยมหรือเทวนิยมมันก็คือจิตไปกำเนิด กำเนิดในเทวดา อินทร์ พรหม นี่ในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ แล้วนี่โมหะนิยมไม่รู้อะไรเลยแต่อวดรู้ โมหะนิยม ไปจัดหมวดหมู่ไง ไปจัดเป็นหมวด เป็นหมู่ แล้วกลับมาตำหนิพุทธศาสนา กลับมาตำหนิการประพฤติปฏิบัติ นี้ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมันน่าเห็นใจนะ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา พวกเรามาจากอวิชชา มาจากความไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจนจบ ๙ เปรียญ ๑๐ เปรียญขึ้นมา

ศึกษาทางพุทธศาสนาจบหมดแล้วล่ะ ศึกษาพุทธศาสนาจบมาแล้ว นั่นมันธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวเองยังไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลย ทีนี้พอไปปฏิบัติขึ้นมา ใครปฏิบัติก็แล้วแต่จิตมันจะเกิดนิมิต เกิดต่างๆ มันเป็นพันธุกรรมของจิต ถ้าพันธุกรรมของจิตมันเป็นแบบนั้นมันก็จะรู้จะเห็นของมัน รู้เห็นของมันเริ่มต้น มีครูบาอาจารย์ก็ต้องแก้ไขกันมา ถ้าการแก้ไขกันมา อย่างนั้นแหละ อย่างที่ว่าถ้ามันไปเห็น ถ้าเห็นแล้วเชื่อ เห็นแล้วหลงไป อันนั้นเขาก็ทำร้ายตัวเขาเอง แต่ถ้าเขาเห็นแล้วเขาก็วาง

เขาเห็นแล้วเขาวาง เขาเห็นแล้วพัฒนาขึ้นมามันจะเห็น เห็นขึ้นมา แล้วพอเห็นขึ้นมาก็เห็นอริยสัจแล้ว เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันต้องรู้ต้องเห็นของมัน มันเป็นเชิงธรรมจักร จักรที่ว่ามันเคลื่อน ปัญญาที่มันเคลื่อน ถ้าปัญญาที่เป็นจริง ปัญญา มัชฌิมาปฏิปทา นี่ความเห็นจริง ถูกต้องในมรรค ถ้ามรรคมันเกิดขึ้นมันก็เป็นพุทธศาสนา เป็นศาสนาในหัวใจ ถ้าศาสนาในหัวใจมันจากความเป็นจริงขึ้นมา มันชำระล้างกิเลสไปแล้วมันไม่มีโมหะนิยมอย่างนี้ไง เพราะมันเป็นโมหะนิยม มันถึงไปจัดหมวดหมู่ข้างนอก เหมือนเด็กเล่นตุ๊กตาเลย เห็นไหม ดูเด็กที่มันเล่นสะสมตุ๊กตานะ มันจะสะสมเป็นกองทัพไง นี่กองทัพหน้า นี่กองทัพหลัง

นี่ก็เหมือนกัน จัดหมวดหมู่อเทวนิยม เห็นไหม ไอ้เทวดานี้ไม่มี มันเหมือนกับเด็กนักสะสมตุ๊กตา นี่นักสะสม อันนี้เป็นอเทวนิยม ไอ้ชุดนี้เป็นเทวนิยม นี่มันจัดเป็นหมวด เป็นหมู่ แล้วก็จัดให้เป็นกองทัพรบกัน สมมุติแล้วก็รบกัน ก็คิดกันไปเอง ไอ้พวกโมหะนิยมไง โมหะนิยมทำอย่างนั้น แล้วก็คิดกันไปเอง แล้วดูถูกศาสนาเอง ทั้งๆ ที่เราเป็นชาวพุทธแท้ๆ นะ แต่ถ้าเป็นความจริง เป็นความจริงมันไม่เป็นแบบนั้นหรอก ถ้ามันเป็นแบบนั้นเป็นอโมหะนิยม ถ้ามันเป็นโมหะนิยมแล้วมันไม่มีความจริงขึ้นมาในใจ แล้วก็เป็นความจริง

ฉะนั้น สิ่งนี้ อันนี้อันหนึ่ง แล้ว ๒.

ถาม : ความปรารถนาของผม หากมีผู้ที่เข้าใจเช่นนี้ ผู้ที่ปฏิบัติหรืออ่านหนังสือเมื่อฟังเทศน์เข้าไปจะได้ไม่ไปติดกับภาษาสมมุติ ป้องกันการเข้าใจพุทธศาสนาผิดๆ หลงไปเอาคำของนักวิชาการยุคหลังมาใช้ตีกรอบพระพุทธศาสนา

ตอบ : มันไปติดกับดักเพราะความเท่ห์ มันเป็นนวัตกรรม มีแต่ความสวยๆ นวัตกรรมสร้างภาพกันมา สร้างคำพูดหรูๆ แล้วก็ไปติดกับสมมุติตัวเอง นรก สวรรค์ไม่มี มันเท่ห์มากนะ เป็นปัญญาชน ผู้ที่มาถึงแล้ว แหม เท่ห์มากเลย ไอ้พวกที่เชื่อนี่เป็นไสยศาสตร์ ไอ้ไสยศาสตร์เราไปเชื่อเรื่องภูต ผี ปิศาจนั่นเป็นไสยศาสตร์ แต่นี้เชื่อในพุทธศาสตร์

ในพุทธศาสตร์บอกถึงเวลาจิตสงบแล้วไปเห็นเทวดา อินทร์ พรหมเขามีอยู่แล้ว แต่ไสยศาสตร์เขาไปเชื่อของเขา ไปเชื่อของเขาเรื่องภูต ผี ปิศาจ ดูสิไสยศาสตร์ที่เขาจากเชื่อผี เห็นไหม แล้วเข้าทรงทรงเจ้านั่นไสยศาสตร์ แล้วตอนนี้โหราศาสตร์ ดูสิในทีวีดาวเทียม โอ้โฮ ออกมาเป็นช่องๆๆ ใครเป็นโรคร้ายต่างๆ ก็มาสวดมนต์แล้วก็จะหาย ใครเป็นทุกข์ๆ ยากๆ มาสวดมนต์แล้วก็จะหาย มันหายมาจากอะไร? นั่นน่ะไสยศาสตร์

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครที่มีทุกข์ มีร้อนขึ้นมา เราทำสิ่งใดมา กรรมมันให้ผลขึ้นมามันก็ตกอับอย่างนั้น แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา ความตกอับนั้นมันเป็นกรรมเก่า ถ้าเราสร้างแต่คุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าจิตมันทุกข์ยากเราก็พอใจของเราว่าเราเคยทำมาอย่างนั้น

เวลากรรมมันเสวยผลมา เห็นไหม นี่คือกรรม กรรมที่เราได้ผลมา กรรมนี่สิ่งนั้นก็คือกรรม คือสิ่งที่มันเป็นความรู้สึกนึกคิดในใจที่มันน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ถ้าเป็นกรรมดี กรรมดีเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์เราก็มีร่างกายครบ ๓๒ เราก็มีสมอง เราก็มีปัญญา เราก็มีมือ เราก็ทำหน้าที่การงานของเราได้ มันก็ภูมิใจของเรา มันก็ขวนขวาย มันก็ทำของมันไป มันรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ มันก็สะสม มันก็เก็บหอมรอมริบของมันขึ้นมา มันมีเงินออมขึ้นมามันก็ตั้งเนื้อตั้งตัวขึ้นมาได้

ถ้ากรรมดีขึ้นมา นี่ไงถ้ามันมีปัญญามันก็จะรู้ว่าเราเกิดมาเรามีอาการ ๓๒ เป็นอริยทรัพย์ เรามีสมบัติอยู่แล้ว ทำหน้าที่การงานขึ้นไปมันก็ได้ขึ้นมา ถ้ามันตกทุกข์ได้ยาก ตกทุกข์ได้ยาก เราจะไม่เสมอกัน ไม่เสมอกัน คนก็นิ้วมือไม่เท่ากัน คนก็ไม่เท่ากัน นี่ถ้ามีธรรมขึ้นมามันก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ มันก็ไม่เป็นไสยศาสตร์อย่างนั้น เพราะมันไม่เป็นไสยศาสตร์มันก็ไม่ทุกข์ไม่ยากไง แต่ถ้ามันมีธรรมไง มันมีธรรมหมายความว่ามันมีศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วมันตั้งสติขึ้นมา

“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

พุทธศาสนาสอนอย่างนี้จริงๆ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราก็ทำดีมาตลอดทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้? มันทุกข์ยากขนาดนี้เพราะอวิชชา ไอ้มาร ไอ้มาร ไอ้บีบคั้นในใจมันไม่ได้คิดตามความเป็นจริงไง ทำหน้าที่การงาน ๒ สลึงมันจะเอา ๕๐๐ ไม่ทำอะไรเลยมันจะเอาพันหนึ่ง เดินไปเดินมาเขาว่า ๓,๕๐๐ ไอ้นั่นไม่ต้องทำอะไรเลยได้ ๕,๐๐๐ มันก็คิดของมันไป

นี่มันเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจของมันในใจ มันเป็นเรื่องมารทั้งนั้นแหละ มันเอามาเทียบไง เสร็จแล้วก็มาติดกับดักภาษาสมมุติไง อยากเท่ห์ ไอ้พวกพูดอย่างนั้นไอ้พวกเท่ห์ พูดเอาเท่ห์ พูดเอาแต่ได้ แต่กลับไม่ได้นะ กลับไม่ได้อะไรเลย กลับมีแต่ความเสียหายกับตัวเอง เพราะว่าความจริงของเราเป็นอย่างนี้แต่เขาไม่เชื่อของเขา ถ้าไม่เชื่อของเขามันเป็นเรื่องของเขานะ นั่นพูดถึงว่าไม่เห็นตถาคต เขาถามมาอย่างนั้นเพราะเรารู้ว่าเราตอบไปมันจะกระเทือนพอสมควร แต่เราก็อยากตอบ

อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้เวลาบอกว่าสิ่งที่วันนั้นพูดไปนี่ดีมาก คำว่าดีมากก็พูดเพื่อให้สติสังคม ฉะนั้น พอให้สติสังคม นี้ลงรายละเอียดไง ลงรายละเอียดเรื่องนรก สวรรค์ เรื่องต่างๆ ถ้าเรื่องต่างๆ มันมีของมันจริงทั้งนั้นแหละ เพียงแต่พวกเราตาบอด ตาใจนะ ตาใจบอดเราก็เลยไม่เข้าใจสิ่งนั้น แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์นะตาใจนี้เปิดกว้าง ถ้าพระอรหันต์สงสัยในสิ่งใด ความลังเลสงสัยนั้น ลังเลสงสัยคืออะไร? อวิชชา ถ้ามีอวิชชาปิดกั้นใจเราจะไม่หู ตาสว่าง แต่ถ้าพระอรหันต์นะไม่มีความสงสัยในใจ แล้วใจเปิดกว้าง รู้แจ้งในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ จิตนี้เคยไป

หลวงตาบอกว่าจิตที่หลุดพ้นนี้เหมือนกับมังกร มันไปได้ในอวกาศ ในวัฏวนนี้มันกว้างขวาง มันไปได้ทั่ว คือจิตนี้ยิ่งใหญ่นัก มันครอบคลุมสามโลกธาตุ นี่รู้แจ้งหมด ในสามโลกธาตุก็คือเทวดา อินทร์ พรหม เข้าใจ เห็นทะลุปรุโปร่งหมด แล้วมันจะไม่มีตรงไหน? มันไม่มีตรงไหน? แต่เพราะหัวใจมันบอด เพราะหัวใจมันบอดมันถึงไม่รู้เห็นสิ่งใด แล้วอยากเท่ห์นี่สำคัญ หัวใจบอดแล้วอยากเท่ห์ นรก สวรรค์ไม่มี เทวดาไม่มี พรหมไม่มี มันเป็นอเทวนิยม มันเป็นศาสตร์ในทางตะวันตกเขา นี่เราไปเอาเรื่องข้างนอกมาขัดแย้งกันเอง แต่ถ้าแน่จริงนะ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติไป แล้วมันจะไม่เป็นโมหะนิยม เอวัง